องค์กร (Organization)
องค์กร หมายถึง การนำเอาส่วนต่างๆที่มีความเกี่ยวข้องกันมารวมกันอย่างมีระเบียบ
หรือเป็นการรวมกลุ่มกันอย่างมีเหตุผลของบุคคลกลุ่มหนึ่ง
เพื่อเป็นศูนย์อำนวยการให้การดำเนินงานลุล่วงไปตามป้าหมายที่กำหนดไว้
โดยมีการใช้อำนาจการบริหารที่ชัดเจนมีการแบ่งงานและหน้าที่ลำดับขั้นตอนของการบังคับบัญชา
และความรับผิดชอบ
ลักษณะขององค์กร
องค์กรแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะใหญ่ๆ ได้แก่
1.องค์กรทางสังคม
เป็นองค์กรที่มีวัตถุประสงค์ในการทำงานเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับสมาชิกในสังคม เช่น
ครอบครัว โรงเรียน และกลุ่มกิจกรรมสาธารณะต่างๆ
2.องค์ส่วนราชการ เป็นหน่วยงานของราชการ
ทำให้เกิดนโยบายสาธารณะและงานบริการแก่ประชาชน
3.องค์กรเอกชน เป็นองค์กรที่ดำเนินการเพื่อผลประโยชน์ทางการค้า
ได้รับผลตอบแทนจากผลกำไรที่เกิดจากการทำธุรกิจ
ประเภทขององค์กร
การดำเนินธุรกิจอาจดำเนินการได้หลายรูปแบบ
เราสามารถจำแนกรูปแบบธุรกิจได้เป็น 3 ประเภทด้วยกัน ได้แก่
1.กิจการเจ้าของตนเดียว
2.ห้างหุ้นส่วน
3.บริษัทจำกัด
องค์กรแต่ละประเภท
ยังมีความแตกต่างกัน ทั้งในด้านองค์ประกอบและวัตถุประสงค์
ภายในองค์กรยังมีการจัดวางโครงสร้างขององค์กรเพื่อการจัดการและบริหารอย่างเป็นระบบ เพื่อให้การดำเนินงานขององค์กรประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์
และองค์กรที่พบเห็นได้มากที่สุดได้แก่องค์กรธุรกิจขนาดเล็ก
หรือธุรกิจเจ้าของคนเดียว องค์กรขนาดใหญ่เช่นโรงงานอุตสาหกรรม และองค์กรภาครัฐ
โครงสร้างองค์การ (Organization Structure)
โครงสร้างองค์การ (Organization Structure) หมายถึง ระบบการติดต่อสื่อสาร
และอำนาจบังคับบัญชาที่เชื่อมต่อคน และกลุ่มคนเข้าด้วยกัน เพื่อทำงานร่วมกันจนบรรลุเป้าหมายขององค์การ
โครงสร้างขององค์การประกอบด้วยสิ่งต่าง ๆ ดังนี้
โครงสร้างขององค์การประกอบด้วยสิ่งต่าง ๆ ดังนี้
1. วัตถุประสงค์ (Objective)
2. ภาระหน้าที่ (Function)
3. การแบ่งงานกันทำ (Division
of Work)
4. การบังคับบัญชา (Hierarchy)
5. ช่วงของการควบคุม (Span
of Control)
6. เอกภาพการบังคับบัญชา (Unity
of Command)
รูปแบบองค์การ
รูป แบบที่เป็นทางการ
เป็นองค์การที่มีการรวมตัวกันของกลุ่ม อย่างมีระบบ แบบแผน ชัดเจน ครอบคลุมทุกส่วนของการปฏิบัติงาน เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์
รูป แบบที่ไม่เป็นทางการ
เป็นองค์การที่มีการรวมตัวกันของกลุ่ม
อย่างไม่มีระบบของการบริหารไม่กฎเกณฑ์
ไม่ระเบียบข้อบังคับของการปฏิบัติงาน
ประเภทขององค์การ
ประเภทขององค์การ
1. แบ่งตามความมุ่งหมายขององค์การ แบ่งได้
4
ประเภท คือ
1.1 องค์การเพื่อประโยชน์ของสมาขิก (Mutual-Benefits)
1.2 องค์การธุรกิจ
(Business Concerns)
1.3 องค์การเพื่อสาธารณะ (Commonweal Organization)
1.3 องค์การเพื่อบริการ (Service Organization)
2. แบ่งตามการจัดระเบียบภายในองค์การ
(Formal Organization) เกิดจากความสัมพันธ์ส่วนบุคคลในกลุ่มองค์กร แบบเป็นทางการหรืออาจเกิดขึ้นในสังคมใดก็ได้
3. แบ่งตามลักษณะความเป็นเจ้าของ แบ่งได้
2 ประเภท
3.1 องค์การรัฐกิจ
3.2 องค์การธุรกิจที่เอกชนเป็นเจ้าของ
ลักษณะขององค์กร
1. เป็นโครงสร้างของความสัมพันธ์ โดยมีลักษณะสำคัญดังนี้
1. กำหนดงานให้ชัดเจน มีการแบ่งงานกันทำ
สมาชิกในองค์การจะได้รับมอบหมายงานให้ทำงานตามความรู้
ความสามารถและความถนัดของแต่ละบุคคล
2. มีสายบังคับบัญชาเป็นชั้นๆ ลดหลั่นกันลงมา
มีสายการบังคับบัญชาเป็นชั้นๆ
ตั้งแต่ระดับระดับสูงสุดลงมาถึงระดับล่างสุดขององค์การ
3. มีวัตถุประสงค์ องค์การต้องมีวัตถุประสงค์ที่แน่นอน
เพื่อสมาชิกขององค์การจะได้ยึดถือเป็นแนวทางในการทำงาน
2. เป็นกลุ่มบุคคล
กลุ่มบุคคล เกิดจากการรวมกลุ่มที่ถาวรเพื่อทำกิจกรรมต่างๆ
ให้บรรลุเป้าหมายร่วมกันขนาดของกลุ่มเท่าใดขึ้นอยู่กับลักษณะของกิจการที่ทำ
3. เป็นส่วนหนึ่งของการจัดการ
เนื่องจากองค์การจะมีปัจจัยต่างๆ ที่จะต้องใช้ในการจัดการ เช่น เงิน
วัสดุอุปกรณ์ รวมถึงคนด้วย ดังนั้น เพื่อให้มีการใช้ปัจจัยต่างๆ
ดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพ จึงต้องมีความชัดเจนในการจัดองค์การ
4. เป็นกระบวนการ
เนื่องจากองค์การมีงานหรือกรรมวิธีต่างๆ
ซึ่งดำเนินต่อเนื่องกันไปจนสำเร็จลง ณ ระดับหนึ่ง
5. เป็นระบบ
ระบบเป็นการรวมสิ่งต่างๆ
ในองค์การที่มีลักษณะซํบซ้อนให้เข้าลำดับประสานกันเป็นอันเดียว ประกอบด้วย 3
ระบบใหญ่ๆ คือ ทรัพยากรที่ใช้ (Resource Input)
กระบวนการแปรรูป (Tranformation Process)และผลผลิต
(Product Output)
การจัดการ ( Management
)
“การจัดการ”
เป็นคำที่นิยมใช้เกี่ยวกับการทำธุรกิจซึ่งต่างจากคำว่า “การบริหาร”
ที่หมายถึงการ
ดำเนินงานหรือปฏิบัติงานของหน่วยงานภาครัฐในบางครั้งอาจใช้คำว่า
การบริหารจัดการ สำหรับคำว่าการจัดการส่วนใหญ่นิยมใช้ในภาคธุรกิจที่มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหาผลกำไรเป็นหลัก
การจัดการ หมายถึง ?
การจัดการ หรือ
Management หมายถึง
กระบวนการทำงานหรือกิจกรรมที่กลุ่มบุคคลในองค์กร ร่วมกันทำงานเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามแนวทางที่กำหนดไว้
5 ขั้นตอนประกอบด้วย การวางแผน การจัดองค์การ การบังคับบัญชาสั่งการ การประสานงาน
และการควบคุม
ความสำคัญของการจัดการ
กระบวนการทำงานหรือการจัดการมีความสำคัญต่อองค์กรธุรกิจ
เพราะทุกขั้นตอนมีผลต่อ ความสำเร็จที่จะทำให้เกิดผลกำไรและช่วยให้องค์กรธุรกิจสามารถดำเนินการต่อไปได้
นอกจากนี้กระบวนการจัดการยังเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ที่ต้องรู้จักนำมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์
เนื่องจากแต่ละ องค์กรมีปัจจัยความสำเร็จที่แตกต่างกัน
กระบวนการในการจัดการ
1.การวางแผน
การวางแผนหรือ Planning หมายถึงการพิจารณากำหนดแนวทางการทำงานให้
บรรลุเป้าหมาย
โดยเกิดจากการใช้ดุลพินิจคาดการณ์ล่วงหน้าเพื่อเป็นแนวทางการการทำงานในอนาคต
2.การจัดองค์การ
การจัดองค์การหรือ Organizing หมายถึง
การจัดระเบียบหรือโครงสร้างของการ ทำงานภายในองค์กรให้เป็นระบบระเบียบและอยู่ในส่วนประกอบที่เหมาะสม
เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์และช่วยให้องค์กรประสบความสำเร็จได้เร็วขึ้น
3.การบังคับบัญชาสั่งการ
หรือ Commanding หมายถึง
ภาระหน้าที่ของผู้บริหารในการใช้ความสามารถชักจูงหรือหว่านล้อมผู้ใต้บังคับบัญชาให้ปฏิบัติงานตามคำสั่ง
จนสามารถทำให้องค์กรบรรลุผลสำเร็จได้
4.การประสานงาน
หรือ Coordinating หมายถึง
การจัดให้ทรัพยากรบุคคลภายในองค์กรทำงานประสานสัมพันธ์สอดคล้องเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
เพื่อให้การดำเนินงานราบรื่นและบรรลุวัตถุประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพ
5.การควบคุม
หรือ Controlling หมายถึง
กระบวนการทำงานเริ่มตั้งแต่การกำหนดมาตรฐาน
การแก้ไขการปฏิบัติงานของผู้ใต้บังคับบัญชาตลอดจนการดำเนินงานตามแผน
และการประเมินแผนเพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
ระดับของผู้บริหาร
ผู้บริหาร
หมายถึง ปัจจัยความสำเร็จของการทำงานภายในองค์กร
ส่วนหนึ่งเกิดจากการบริหารงานของผู้นำหรือผู้บริหาร ที่มีทักษะ
มีความรู้ความสามารถในการนำพาองค์กรให้บรรลุความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้
ซึ่งผู้บริหารที่มีความสามารถจะต้องเรียนรู้บทบาทหน้าที่ของตนเอง
และรู้ความหมายของคำว่า “ผู้บริหาร”อย่างเข้าใจ
ความหมายของคำว่า “ผู้บริหาร”
ผู้บริหาร
หมายถึง
ผู้ที่มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าหรือผู้มีอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบตามที่กฎหมายกำหนด
และผู้บริหารยังแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่
1.ผู้บริหารระดับสูง
หมายถึง ผู้ริเริ่มต่อตั้งองค์กร หรือประธานกรรมการไปจนถึงกรรมการผู้จัดการ
ซึ่งมีหน้าที่กำหนดวัตถุประสงค์ นโยบายและกลยุทธ์
เป็นผู้ตัดสินใจเกี่ยวกับทิศทางการดำเนินงานโดยรวมขององค์การ
2.ผู้บริหารระดับกลาง
หมายถึง ผู้อำนวยการ หัวหน้าศูนย์ ผู้จัดการแผนก หรือหัวหน้าสายงาน
มีหน้าที่ดำเนินงานตามนโยบายและแผนงานที่ได้กำหนดไว้
รวมถึงการประสานงานระหว่างผู้บริหารระดับสูง
เพื่อกำหนดนโยบายให้ผู้จัดการระดับล่าง ได้นำแผนงานไปปฏิบัติ
3.ผู้บริหารระดับล่าง
หมายถึงหัวหน้าแผนกหรือหัวหน้าคนงาน
มีหน้าที่ทำตามนโยบายที่ผู้บริหารระดับสูงและผู้บริหารระดับกลางกำหนดไว้ รวมทั้งการช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาให้กับทีม
สร้างแรงจูงใจและสามารถรับผิดชอบแทนผู้ที่อยู่ในแผนกของตนได้
คุณสมบัติของผู้บริหารที่ดี
1.มีบุคลิกภาพที่ดี ผู้บริหารที่ให้ความสำคัญกับการดูแลบุคลิกภาพของตนเอง
นอกจากจะช่วยสร้างความประทับใจกับบุคคลที่ร่วมงานด้วยแล้ว
บุคลิกภาพยังถือเป็นบันไดสู่ความสำเร็จได้เป็นอย่างดี
2.มีวิสัยทัศน์
ผู้ที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลต้องเป็นผู้ที่เรียนรู้มาก
และมักนำวิสัยทัศน์ไปสู่การปฏิบัติ
3.มีมนุษยสัมพันธ์นักบริหารมืออาชีพจะต้องเป็นผู้ที่มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีกับทุกคนทั้ง
เจ้านาย ลูกน้อง เพื่อนและคนทั่วไป
4.มีคุณธรรมจริยธรรมผู้ที่มีคุณธรรมประจำใจจะมีจริยธรรมที่งดงามเสมอ
จึงทำให้ สามารถครองตน ครองคน และครองงาน ได้
5.เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารที่เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงจะต้องมีคุณลักษณะที่สำคัญ
3 ประการคือ “มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มีความรู้ลึกและรู้รอบ
มีความกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง
ดังนั้น
ผู้บริหารนับว่าเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จ
หรือความล้มเหลวของขององค์กร
ผู้ที่มีความสามารถและประสบการณ์ในการทำงานสูง
การดำเนินงานทุกครั้งก็จะบรรลุเป้าหมายและมี
ข้อผิดพลาดหรือโอกาสเกิดความผิดพลาดได้น้อย
การตัดสินใจ
การตัดสินใจ
หมายถึง
กระบวนการเลือกทางเลือกใดทางเลือกหนึ่ง จากหลาย ๆ ทางเลือกที่ได้พิจารณา
หรือประเมินอย่างดีแล้วว่า เป็นทางให้บรรลุวัตถุประสงค์ และเป้าหมายขององค์การ
การตัดสินใจเป็นสิ่งสำคัญ และเกี่ยวข้องกับ หน้าที่การบริหาร
หรือการจัดการเกือบทุกขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นการวางแผน การจัดองค์การ
การจัดคนเข้าทำงาน การประสานงาน และการควบคุม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น