การวางแผนทรัพยากรองค์กร (Enterprise
Resource Planning ย่อ ERP) หมายถึง
การบริหารจัดการภายในองค์กร เนื่องจากมีการแข่งขันกันที่สูง องค์กรต่าง ๆ
จึงต้องมีการพัฒนากระบวนการและข้อมูลทั้งหมด ในองค์กร
เพื่อที่จะได้มีศักยภาพในการแข่งขันมากขึ้น โดยจะมีการนำอินเทอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทในห่วงโซ่อุปทาน
(supply chain) โดยเป็นแหล่งจำหน่ายสินค้าที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคโดยตรง
โดยการผลิตตามความต้องการของลูกค้า
ซึ่งจะมีการติดต่อระหว่างสายการผลิตไปจนถึงช่องทางจำหน่ายทั้งนี้เพื่อที่จะลดขั้นตอนในห่วงโซ่อุปทาน
จะทำให้ลดค่าใช้จ่ายในกระบวนการผลิต
ซึ่งจะต้องมีการปรับเปลี่ยนกระบวนการการผลิตดังนี้
- การพัฒนารูปแบบของการดำเนินงานในโรงงาน
- โดยจะมีการนำเอา
e-Manufacturing เข้ามาใช้ในโรงงานนั้นจะช่วยในเรื่องของการผลิตสินค้าเพื่อเก็บไว้ในคงคลัง,
จัดมาตรฐานของหน้าบ้าน และการจัดการบำรุงรักษาเครื่องจักร
มีประสิทธิภาพขึ้น ดังนี้
- การจัดเก็บสินค้าคงคลังให้ได้คุณภาพสูง
- การจัดการสินทรัพย์, การจัดหาวัตถุดิบ
และการบำรุงรักษา
การนำเอาอินเทอร์เน็ตมาใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม
อินเทอร์เน็ตนั้นได้เข้ามามีส่วนในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้ซื้อสินค้า
ผู้ซื้อสามารถสั่งซื้อของได้เพียงปลายนิ้วคลิก
และยังสามารถเลือกรูปแบบตามความต้องการได้ นอกจากเป็นเครื่องมือในการซื้อและแหล่งข้อมูลที่สำคัญ
แล้วนั้นยังทำให้ธุรกิจนั้นเคลื่อนไปอย่างรวดเร็วด้วย สำหรับผู้ผลิตแล้วการที่มี e-Business
อย่างเดียวนั้นคงจะไม่สามารถทำงานได้ดีหากปราศจากโซ่อุปทานที่เป็นมืออาชีพและสินค้าที่มีคุณภาพและมีชื่อเสียงระดับโลก
เพื่อที่จะผลิตสินค้าให้เป็นที่พอใจของลูกค้า
การที่มีสินค้าเพียงเก็บไว้ในคงคลังนั้นคงไม่พอแล้ว
สำหรับตลาดที่มีการแข่งขันสูงในตอนนี้
กลยุทธ์ในการนำความขัดแย้งออกจากวิสาหกิจ
ลักษณะของกลยุทธ์ทาง e-Manufacturing
เป็นอย่างไร ลองดูเรื่องสั้นนี้ที่จะช่วยให้มีความเข้าใจมากขึ้น
เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของลิมิตสวิตช์ (Limit Switch) ซึ่งเป็นเพียงแค่สวิตช์ปิดเปิดธรรมดาที่มีแขนยื่นออกมา
ตัวลิมิตสวิตช์ จะอยู่ติดบนสายพาน ในแต่ละครั้งที่วัตถุมาบนสายพาน
มันจะผลักตัวแขนออกไปทางหนึ่งซึ่งหมายถึงสวิตช์กำลัง เปิด อยู่
และเมื่อกล่องผ่านไปตัวแทนก็จะตีกลับมาที่เดิม
ประโยชน์ในการนำ ERP มาใช้
- เกิดการปฏิรูปการทำงาน
- การเพิ่มประสิทธิภาพและความเหมาะสมให้กับกระบวนการทางธุรกิจ
- การทำให้การบริหารงานได้รวดเร็ว ไวต่อเหตุการณ์
- การลดลงของค่าใช้จ่ายโดยรวมขององค์กร
- เกิดการปฏิรูปการบริหารธุรกิจ
- ความสามารถในการรับรู้สภาพการณ์โดยรวมของการบริหารได้แบบเรียลไทม์
- ความสามารถในการปรับเปลี่ยนเพื่อให้องค์กรโดยรวมมีประสิทธิภาพสูงสุด
- ความสามารถในการตัดสินใจได้รวดเร็วทันต่อเหตุการณ์
- เกิดการปฏิรูปวัฒนธรรมและวิถีขององค์กร
- การเป็นตัวเองและความกระตือรือร้นของพนักงาน
- การใช้ความสามารถของพนักงานให้เกิดผลสำเร็จ
- การใช้ความคิดสร้างสรรค์ของพนักงานในการบริหารองค์กรให้เกิดผลสำเร็จ
คุณสมบัติที่ดีของ ERP package
1. มีคุณสมบัติ online transaction system เพื่อให้สามารถใช้งานแบบ
real time ได้
2.รวมข้อมูลและ information ต่างๆ เข้ามาที่จุดเดียวและใช้งานร่วมกัน integrated database
3.มีapplication software moduleที่มีความสามารถสูงสำหรับงานหลักๆของธุรกิจได้
อย่างหลากหลาย
4.มีความสามารถในการใช้งานในหลายประเทศข้ามประเทศจึงสนับสนุนหลายภาษา
หลายสกุลตรา
5.มีความยืดหยุ่นและสามารถปรับเปลี่ยนขยายงานได้ง่าย
เมื่อระบบงานหรือโครงสร้างองค์กรมีการเปลี่ยนแปลง
6. มีขั้นตอนและวิธีการในการติดตั้งสร้างระบบ ERP ในองค์กรที่พร้อมและชัดเจน
7. เตรียมสภาพแวดล้อม(ระบบสนับสนุน)
สำหรับการพัฒนาฟังก์ชันที่ยังขาดอยู่เพิ่มเติมได้
8. สามารถใช้กับเทคโนโลยีสารสนเทศใหม่ๆ
9. ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่เป็นมาตรฐานระดับโลก มีความเป็นระบบเปิด (open
system)
10. สามารถ interface หรือเชื่อมโยงข้อมูลกับระบบงานที่มีอยู่แล้วในบริษัทได้
11. มีระบบการอบรมบุคลากรในขั้นตอนการติดตั้งระบบ
12. มีระบบสนับสนุนการดูแลและบำรุงรักษาระบบ
ระบบงาน ERP ประกอบด้วยระบบต่างดังนี้
1. ระบบบัญชีและการเงิน (Financial Accounting)
เป็นระบบที่มีการเชื่อมต่อกับระบบงานย่อยอื่นอย่างสมบูรณ์
โดยสามารถบันทึกรายการบัญชีทันทีจากระบบงานย่อยต่าง ๆ
ดังนั้นจึงสามารถช่วยลดงานด้านการบันทึกรายการเดินบัญชีลงได้อย่างมากเพื่อให้นักบัญชีสามารถปรับเปลี่ยนการทำงาน
เพื่อทำหน้าที่วิเคราะห์ควบคุม และบริหารงานบัญชีได้อย่างเต็มที่
นอกจากนี้ยังทำให้ข้อมูลทางบัญชีต่าง ๆ
ได้รับการปรับให้ถูกต้องตามรายการที่เกิดขึ้น
และช่วยให้ผู้บริหารสามารถติดตามผลการดำเนินงานได้ตลอดเวลา
ซึ่งประกอบด้วยระบบบัญชีแยกประเภททั่วไป ระบบบัญชีลูกหนี้ ระบบบัญชีเจ้าหนี้
ระบบบัญชีศูนย์ต้นทุน / ศูนย์กำไร ระบบบริหารงบประมาณ
2. ระบบบัญชีทรัพย์สินถาวร (Asset Management)
เป็นระบบงานย่อย ที่ใช้รองรับการควบคุมสินทรัพย์
โดยระบบบัญชีทรัพย์สินถาวรจะเชื่อมโยงกับระบบบัญชีแยกประเภททั่วไปสำหรับทุก ๆ
รายการทางบัญชีที่เกิดขึ้น
3. ระบบบริหารทรัพยากรบุคคล (Human Resource Administration)
เป็นระบบที่ช่วยในการสนับสนุนการติดต่อสื่อสาร ระหว่างองค์กรกับพนักงาน
อำนวยความสะดวกให้พนักงานสามารถเข้ามาสร้าง ดูและแก้ไขข้อมูลของตนเอง
โดยใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาช่วย
นอกจากนั้นยังเป็นระบบที่ช่วยในการบริหารจัดการวงจรอายุพนักงาน
ตั้งแต่การคัดเลือกพนักงานเข้าทำงาน ช่วยในการค้นหาและเลือกพนักงานที่เหมาะสมกับงานตามความเชี่ยวชาญของบุคคลากร
สร้างมาตรฐานในการวัดผลการปฏิบัติงาน
และยังสามารถกำหนดแผนการฝึกอบรมพนักงานให้เป็นไปตามความเหมาะสมในแต่ละหน่วยงาน
4. ระบบพัฒนาทรัพยากรบุคคล (Human Resource Development)
เป็นระบบที่ช่วยในการพัฒนาความรู้ ทักษะ ความสามารถ
รวมถึงศักยภาพของพนักงาน
และยังเป็นการวางแผนความก้าวหน้าในสายอาชีพของทรัพยากรบุคคล
5. ระบบจัดซื้อจัดหาและบริหารสินค้าคงคลัง (Purchasing and Inventory
Management)
ระบบนี้ประกอบด้วย ระบบย่อยเพื่อรองรับกระบวนการทำงานของผู้ใช้งาน
ที่แตกต่างกันได้ดังนี้
– ระบบจัดซื้อจัดหา (Purchasing) สนับสนุนการทำงานในด้านการขอซื้อจากหน่วยงานต่าง
ๆ การจัดทำใบสั่งซื้อ การรับสินค้าและการจัดการเรื่องใบแจ้งหนี้
เพื่อส่งไปประมวลผลในระบบบัญชีเจ้าหนี้
– ระบบการบริหารสินค้าคงคลัง
(Inventory Management) รองรับการบันทึกรายละเอียดข้อมูลพัสดุ
สถานะของพัสดุ สถานที่เก็บข้อมูลการเคลื่อนไหวของพัสดุ ข้อมูลพัสดุคงเหลือ
การรับพัสดุเข้าคลังการเบิกจ่ายพัสดุ การโอนย้ายพัสดุ การตรวจนับพัสดุประจำงวด
โดยระบบจะบันทึกรายการทางบัญชีโดยอัตโนมัติที่ระบบบัญชีการเงิน (Financial
Accounting) เมื่อมีการทำรายการรับเข้า เบิกจ่าย โอนย้ายระหว่างคลัง
เป็นต้น
6. ระบบการบริหารคลังสินค้า (Warehouse Management)
เป็นการนำเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต มาใช้ร่วมกับรูปแบบในการจัดซื้อจัดจ้างทางธุรกิจ
รูปแบบการทำธุรกิจแบบนี้จะเป็นการจัดซื้อจัดจ้างเพื่อให้เกิดตลาดที่ผู้ซื้อและผู้ขายจำนวนมาก
สามารถพบกันได้ โดยมีต้นทุนทั้งในเรื่องของเงินและเวลาน้อยที่สุด
และสามารถจัดการซื้อขายภายใต้ราคาในรูปแบบ Dynamic Prices ทำให้ผู้ซื้อได้รับประโยชน์ในการหาผู้ขายที่สามารถให้ราคาและเงื่อนไขที่เหมาะสมกับองค์กร
โดยสามารถทำธุรกรรมผ่านทางสื่ออินเทอร์เน็ตได้
สามารถเปิดประมูลผ่านทางอินเตอร์เน็ต
สามารถใช้งานเพื่ออำนวยความสะดวกในการเปิดเสนอราคา
โดยระบบสามารถทำงานผ่านทางอินเตอร์เน็ต และจัดเก็บข้อมูลการเสนอราคา
การกำหนดเงื่อนไขในการประมูลได้
7. ระบบบริหารการขายและการกระจายสินค้า (Sales and Distribution)
เป็นระบบสำหรับประมวลผลรายการขายโดยครอบคลุมตั้งแต่การจัดทำใบเสนอราคา
การบันทึกการขาย การจัดส่งสินค้า ตลอดจนการออกใบแจ้งหนี้ ซึ่งประกอบด้วยระบบงานย่อยดังนี้
– ระบบขาย (Sale)
– ระบบการจัดส่งสินค้า (Shipping & Delivery)
– ระบบการแจ้งหนี้ (Billing)
ระบบย่อยต่าง ๆ จะเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกัน
และในขณะเดียวกันระบบบริหารการขายและการกระจายสินค้า จะเชื่อมโยงกับระบบอื่น ๆ
ซึ่งทำให้สามารถปรับปรุงข้อมูลขณะปฏิบัติงานจริง การเรียกดูรายงานที่รวดเร็ว
ถูกต้อง และเชื่อมโยงข้อมูลของระบบงานอื่น ๆ ไว้ในรายงานฉบับเดียวกัน
เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลและสนับสนุนการตัดสินใจในการปฏิบัติงาน เช่น
การทำใบบันทึกการขาย สามารถทำการตรวจสอบวงเงินเชื่อของลูกค้าได้โดยอัตโนมัติ แบบ Real
timeการตรวจสอบและจองปริมาณสินค้าในคลังที่จะขายได้อย่างอัตโนมัติ
8. ระบบการบำรุงรักษา (Plant Maintenance)
เป็นระบบที่ใช้สำหรับการเก็บข้อมูลทางเทคนิคของอุปกรณ์ไฟฟ้า
ที่ใช้ในการผลิตและส่งกระแสไฟฟ้า เช่น สถานีส่งไฟฟ้าอุปกรณ์ส่งไฟฟ้า
ระบบนี้สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารงานบำรุงรักษา การจัดการค่าใช้จ่าย
การประเมินประสิทธิภาพ รวมทั้งประเมินความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น
โดยครอบคลุมถึงการปฏิบัติงาน ตั้งแต่การกำหนดตารางการบำรุงรักษา
รายละเอียดงานที่เกี่ยวข้อง จำนวนทรัพยากรที่ต้องใช้
เวลาที่ต้องใช้รวมทั้งควบคุมงบประมาณที่เกี่ยวข้อง
นอกจากนี้ระบบยังสามารถจัดเก็บรายละเอียดประวัติงานประจำวันและสนับสนุนข้อมูล
เพื่อประกอบการวิเคราะห์และตัดสินใจของผู้บริหาร รวมทั้งเชื่อมโยงข้อมูลกับระบบ
ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องได้
9. ระบบบริหารการผลิต (Production Planning)
ระบบนี้รองรับการบริหารการผลิต โดยแยกเป็นกระบวนการย่อยได้ดังนี้
– การวางแผนการบริหารการผลิต
(Production Planning)
– การผลิตผ่านใบสั่งผลิต (Production Order)
– การผลิตแบบต่อเนื่อง (Repetitive Manufacturing)
ระบบย่อยต่าง ๆ เชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกัน และในขณะเดียวกันระบบบริหารการผลิตสามารถเชื่อมโยงกับระบบอื่น
ๆ ซึ่งรวมถึงการปรับปรุงข้อมูล ณ ขณะปฏิบัติงานจริง การเรียกดูรายงานที่รวดเร็ว
ถูกต้อง และเชื่อมโยงข้อมูลของระบบงานอื่น ๆ
เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลและสนับสนุนการตัดสินใจในการปฏิบัติงาน
การเชื่อมโยงระบบบริหารการผลิตกับระบบอื่น ๆ ได้แก่
– ระบบบริหารการขายและการกระจายสินค้า(Sales and Distribution)
– ระบบจัดซื้อจัดหาและบริหารสินค้าคงคลัง(Purchasing and Inventory
Management)
– ระบบบัญชีศูนย์ต้นทุน / ศูนย์กำไร(Cost Center Accounting)
10. ระบบสารสนเทศสำหรับผู้บริหารระดับสูง (Executive Information
System)
ระบบนี้ทำหน้าที่สร้างคลังข้อมูลสารสนเทศ (Data Warehouse) ที่เหมาะสมสำหรับสนับสนุนการบริหารจัดการ และการตัดสินใจของผู้บริหาร
และสามารถเชื่อมโยง ถ่ายโอนข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากระบบงานอื่นภายในหน่วยงานได้
โดยอัตโนมัติตามระยะเวลาที่กำหนด
รวมทั้งสามารถเชื่อมโยงและถ่ายโอนข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากแหล่งข้อมูลภายนอก
นอกจากนี้ระบบยังสามารถดึงข้อมูลจากคลังข้อมูลมาทำการวิเคราะห์ คำนวณ สนับสนุน
การจัดทำรายงานข้อมูลสารสนเทศสำหรับผู้บริหารตามระยะเวลาที่กำหนด
ด้วยการใช้ข้อมูลจากระบบ ERP และอนุญาตให้ผู้บริหารวิเคราะห์ข้อมูลข้ามสายงานที่ซับซ้อน
รวมทั้งสนับสนุนวิธีการและเทคนิคการการจัดการกลยุทธ์ เช่น Activity Based
and Management , Value Based Management and Balanced Scorecards ดังนั้นระบบจึงช่วยลดช่องว่างระหว่างกลยุทธ์กับการปฏิบัติในองค์กร
11. ระบบการบริหารโครงการ (Project Management)
ระบบนี้สามารถรองรับการวางแผน
และการจัดการงบประมาณรวมทั้งค่าใช้จ่ายสำหรับงานโครงการ เช่น
งานโครงการก่อสร้างหรืองานบำรุงรักษาแบบป้องกัน
ระบบบริหารโครงการประกอบด้วยฟังก์ชั่นงานหลักดังนี้
– ฐานข้อมูลโครงการ (Project Master) เป็นส่วนงานที่รองรับการเก็บข้อมูลโครงการ
(Project) และงานในโครงการ (Work Breakdown Structure
– WBS) โดยสามารถกำหนด Milestone และกำหนดงานเป็น
Hierarchy ได้ รวมทั้งสามารถจัดเก็บข้อมูลรายละเอียดต่าง ๆ
ของงานหรือโครงการ เช่น วันที่เริ่มต้นและวันที่สิ้นสุด
นอกจากนี้ระบบยังสามารถรองรับ การแสดงข้อมูลโครงการในลักษณะ Graphic หรือ Gantt chart ได้ด้วย
– การจัดการงบประมาณโครงการ (Project Budgeting) เป็นส่วนงานที่ช่วยควบคุมงบประมาณในแต่ละโครงการ
โดยสามารถจัดเก็บงบประมาณของโครงการในแต่ละปี
ระบบจะมีส่วนช่วยในการจัดตั้งและติดตามงบประมาณ
– การวางแผนโครงการและกำหนดตารางการทำงาน (Project
Planning & Scheduling)
– การจัดเก็บและจัดสรรค่าใช้จ่าย
(Project Settlement) เป็นระบบที่รองรับการจัดเก็บข้อมูลด้านการเงิน
โดยสามารถบันทึกค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในแต่ละงาน (Work Breakdown
Settlement) และสามารถอ้างอิงกับเอกสารบันทึกค่าใช้จ่าย
ในระบบบัญชีและการเงิน (Financial Accounting) เพื่อทำการตรวจสอบได้
12. ระบบบริหารการเงิน (Treasury)
เป็นระบบที่สามารถรองรับการวางแผนการเงินให้สอดคล้องกับงานโครงการต่าง ๆ
ทั้งด้านรายรับรายจ่าย เพื่อทราบสถานการไหลของเงินเข้าและออก
การจัดหาแหล่งของเงินมารองรับโครงการต่าง ๆ ที่จัดให้มีขึ้น รวมทั้งแผน การจ่ายชำระหนี้ตามงวดที่ถึงกำหนด
ตามสกุลองค์กร ได้หลายสถานการณ์ตามเงื่อนไขขององค์กร ซึ่งจะประกอบด้วยระบบงานย่อย
ดังต่อไปนี้
– ระบบบริหารเงินสด (Cash Management) สามารถประมาณการรับ
/ จ่ายเงิน สำหรับในช่วงระยะเวลาที่ต้องการ
รวมทั้งสามารถรองรับการกระทบยอดกับธนาคารได้
– ระบบงบประมาณและการบริหารกองทุน
(Budgeting & Fund Management) สามารถกำหนด
โครงสร้างของงบประมาณ การแบ่งประเภทของงบประมาณ
การสรุปผลต่างของงบประมาณและยอดที่ใช้จริง
สามารถควบคุมการจ่ายเงินตามแหล่งของเงินทุน ตามงบประมาณที่ได้รับอนุมัติ
13. ระบบการจัดการเชิงกลยุทธ์ (Strategic Enterprise Management)
สนับสนุนการจัดการธุรกิจเชิง
การจัดการเพิ่มมูลค่าของกิจการ โดยสนับสนุนและจัดลำดับความสำคัญของการตัดสินใจ
ตามเป้าหมายโดยรวมขององค์กร นำเสนอข้อมูลให้ผู้บริหารวิเคราะห์ข้อมูลข้ามสายงานที่ซับซ้อน
โดยจะต้องเชื่อมโยงข้อมูลที่มาจากระบบสารสนเทศสำหรับผู้บริหารระดับสูง (Executive
Information System) ซึ่งระบบงานนี้ประกอบด้วย
– การตรวจสอบประสิทธิภาพขององค์กรCorporate
Performance Monitor ในส่วนที่สนับสนุนการกำหนด การวิเคราะห์ การให้มุมมองและการตีความของตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพ
(Key Performance Indicator – KPI) โดยขบวนการเหล่านี้ทำให้เกิดการใช้เทคนิคมุมมองใหม่
ๆ ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการได้
ส่วนประกอบนี้ยังช่วยให้สามารถสร้างแบบจำลอง ที่ช่วยในการประเมินตนเองได้ เช่น Balanced
Scorecards, Value Driver Trees และ Management Cockpit
Scenarios
– จำลองและวางแผนทางธุรกิจ Business Planning and
Simulation การ ในส่วนที่สนับสนุนการรวมกลยุทธ์
และการวางแผนการปฏิบัติการของธุรกิจบนโครงสร้างข้อมูลในหลาย ๆ ด้าน ให้มีความสอดคล้องกัน
รวมถึงการสร้างแบบจำลองธุรกิจเชิงเส้นที่เปลี่ยนแปลงได้การจำลองสถานการณ์
การวางแผนเหตุการณ์ การประเมินค่าของความเสี่ยงธุรกิจ
การจัดสรรทรัพยากรในส่วนการวางแผนธุรกิจและการพยากรณ์ที่เกิดจากเป้าหมายกลยุทธ์ KPI
14. ระบบ Enterprise Portal
เป็นระบบที่นำเอาหน้าจอของระบบงาน
ที่ผู้ใช้งานต้องการเรียกมาแสดงผ่านทาง Web Page เช่น E-mail
inbox, หน้าจอการทำงานของ Module ที่ตนรับผิดชอบ
หรือข้อมูลที่เรียกใช้ประจำ เช่น อัตราแลกเปลี่ยน เป็นต้น
การใช้งานสามารถเข้าใช้ทุกระบบได้ โดยผ่านการ Login เพียงหนึ่งครั้ง
(Single Sign on) ซึ่งผู้ใช้สามารถที่จะปรับแต่งการแสดงผลของ
Web Page ได้ตาม User ที่ Login
เข้ามา (Personalize) และสามารถเรียกใช้งานระบบจากที่ใดก็ได้ที่มีเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น